Hear the Birds Sing

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ข้าวของ

05:53 0
ข้าวของ
สองนาฬิกา สิบเก้านาที
ฉันคุ้นชินกับการเข้านอนตอนใกล้สว่าง
เวลาที่เด็กดีควรหลับสนิทอยู่บนเตียง แต่ฉัน ตอนนี้กลับนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ



บนโต๊ะหนังสือมีเปลือกหอยที่ระลึก ได้รับมาจากเด็กห้าขวบที่พบกันตอนหน้าร้อน
เธอดูเขินอาย ครั้งแรกที่เราเจอกัน
เธอยืนข้างแม่เธอ พูดว่า "ฮาจิเมะมาชิเตะ" เสียงเบา ๆ
น่ารักจัง
ถึงฉันจะไม่ชอบเด็ก แต่กับเธอ ความรู้สึกมันต่างออกไป
มีบางอย่างในตัวเธอที่ดึงดูดความสนใจฉัน
เธอขึ้นไปชั้นสอง เล่นกระโดดลงมาจากกองฟูตองที่วางซ้อน ๆ กันอยู่
ดูเป็นการละเล่นที่น่าสนุกทีเดียว
"เล่นด้วยได้มั้ย" ฉันถาม
เธอบอกให้ฉันยืนตรงจุดนี้ รอรับตัวเธอตอนที่กระโดดลงมาแล้ว
ฉันทำตัวเป็นผู้ใหญ่ว่าง่าย และความสัมพันธ์ของเราก็เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น

เธอชอบเล่นปีนป่ายขึ้นไปในที่สูง ๆ แล้วกระโดดลงมา
เธอชอบเล่นไถลจากที่สูง ๆ ลงไปกองกับพื้น
เธอชอบประดิษฐ์อะไรต่อมิอะไรจากกระดาษ ครั้งแรกที่เห็นคือ เธอทำตุ๊กตาแพะจากกระดาษ
เธอบอกว่าแมวที่ชื่อมิยาตะซังน่ะ สวยมาก
เธอชอบไปออนเซน เธอบอกว่ามันอุ่นสบาย และมีครั้งหนึ่งที่เธอร้องไห้เพราะฉันไปออนเซนกับเธอไม่ได้ ชิงโงะซังเลยถามว่า ถ้าแม่ไม่ไปด้วย มีชิงโงะ มีเธอ และมีฉัน สามคน เธอจะไปมั้ย นั่นทำให้เธอยิ้มได้ วันนั้นหลังออกมาจากออนเซน เรากินไอศกรีมกัน
เธอชอบกวาง ชอบแพะ และเธอไม่รังเกียจหนอน มด แมลง
เธอชอบกินข้าวสวย สาหร่าย ถั่ว ข้าวโพด แตงกวา
เธอชอบเด็กทารก
เธอชอบสีชมพู
เธอชอบการถอนหญ้าในนามาก เธอชอบความรู้สึกเย็นสบายของนาข้าวในวันที่อากาศร้อน
วันที่เราสีข้าวสาลีกัน เธอลงไปนอนในกระบะข้าว เธอบอกว่าเย็นสบายดี
หลังนอนกลางวัน พอฉันตื่นขึ้นมา กิจกรรมที่ทำกับเธอบ่อยที่สุดคือ การไปเยี่ยมเป็ด และถอนหญ้าแถวนั้นให้เป็ดกิน
วันที่ไปดูดอกไม้ไฟ เธอได้ชิมน้ำ "รามูเนะ" เป็นครั้งแรก เธอบอกว่ามัน ชูวะชูวะ (ซ่า ๆ) ดี พอกลับมาเราเล่นวาดรูปบนขวดน้ำรามูเนะกัน
เธอชอบให้ฉันวาดรูปอาหาร เพื่อที่เธอจะได้เอาไปป้อนบรรดาสิงสาราสัตว์ที่เธอประดิษฐ์ขึ้นมา
ถึงฉันจะอ่านภาษาญี่ปุ่นได้ไม่คล่อง เธอก็ยังให้ฉันอ่านหนังสือให้ฟัง แล้วพอฉันอ่านผิด เธอก็แก้ให้

ครั้งที่ฉันไปเยี่ยมเธอที่บ้าน ตอนนั้นอากาศเริ่มเย็นแล้ว
เราไปที่ทะเล เก็บเปลือกหอยสวย ๆ กัน
กลิ่นของทะเล...
ชื่นใจ
ข้าวเย็นวันนั้นเป็นซาชิมิสด ๆ แล้วเราก็ไปออนเซนกัน
แต่เธอเป็นหวัด เลยรอฉันอยู่ข้างนอก
พอฉันออกมาจากออนเซน เธอยื่นตุ๊กตาหมีให้ เป็นตุ๊กตาที่เธอขอให้พ่อหยิบให้จากตู้คีบตุ๊กตา
คืนนั้นเรานอนคุยกัน
เธอถามฉันว่า เวลาที่ฉันอยู่กับเพื่อน ๆ ฉันลืมเธอบ้างรึเปล่า
"ไม่เลย นึกถึงตลอดน่ะ" ฉันตอบไปตามจริง
"ถ้ามูกิโฮโตขึ้น จะไปหาพี่ที่เมืองไทยนะ" เธอบอก
ครั้งนั้น ก่อนฉันกลับบ้านเธอให้เปลือกหอยมาเป็นที่ระลึก

เรานัดเจอกันอีกครั้งที่งานฉลองฤดูกาลเก็บเกี่ยว
กินโมจิกัน
เดินไปเก็บหัวไชเท้ากัน
ฟังดนตรี
คุณตาเธอแต่งเพลงมาหนึ่งเพลง แล้วขึ้นไปเล่นกีตาร์บนเวที ส่วนเธอ ทำหน้าที่ร้องเพลงได้อย่างชนิดที่ว่าทำเอาทุกคนประทับใจ
ตกดึก อากาศหนาว นั่งผิงไฟ กินมันเผา ข้าวโพดคั่ว กินส้มจากสวนของคุณตาคุณยายเธอ
เราไปออนเซนกัน
เรานอนข้าง ๆ กันเสมอ คืนนั้นก็เช่นกัน
ตื่นเช้ามา อากาศหนาว ฉันนั่งห่อตัวในผ้าห่ม
เธอตื่นมา หันมามองว่าฉันยังอยู่ไหม แล้วส่งยิ้มหวาน พร้อมกับเอาหัวมาซุกที่ตักฉัน
ฉันห่อตัวเธอในผ้าห่ม อุ้มเธอลุกขึ้นยืน แล้วหมุน หมุน หมุนไปรอบ ๆ
เช้านั้น เธอขอให้ฉันอ่านหนังสือให้ฟัง
วันนั้น พอกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว เราไปเยี่ยมแพะกัน
พอสาย ๆ ครอบครัวเธอ พาฉันไปคิโยซาโต สถานที่ที่เต็มไปด้วยร้านรวงเล็ก ๆ น่ารัก
เราไปมิวเซียมกล่องดนตรี
เธอขอให้แม่ซื้อกล่องดนตรีไขลานให้ฉันเป็นที่ระลึก
เรากินข้าวกันที่คาเฟ่ออร์แกนิก แม่เธอซื้อขนมปังที่ทำจากยีสต์ธรรมชาติให้ฉันเอากลับมาบ้านด้วย

อีกครั้ง ฉันไปหาเธอที่บ้าน
คืนนั้น เราทำบัวลอยฟักทองกัน ช่วยกันปั้น
เธอปั้นเป็นรูปยางลบ
แม่เธอปั้นกระต่าย ดาว ออกมาหน้าตาน่ารัก
ฉันใช้กะทิกระป๋อง
เธอเพิ่งเคยกินกะทิครั้งแรก พอเข้าปากไปปุ๊ป เธอก็รีบคายออกแทบไม่ทัน แต่บัวลอยเปล่า ๆ เธอขอเติมแล้วเติมอีก
คืนนั้น ฉันบอกเธอว่า วันรุ่งขึ้นเรามาทำหนังสือนิทานกันนะ
แต่วันรุ่งขึ้นฉันป่วยมาก
พยายามนั่งทำหนังสือนิทานกับเธอ แม้จะฟุบลงไปกองกับพื้นหลายครั้ง
เธอเขย่าตัวฉัน งอแง พูดว่า พี่สัญญาไว้แล้วแท้ ๆ ว่าจะทำหนังสือนิทานกัน
ในที่สุดเราก็ทำเสร็จ
เธอมาส่งฉันที่สถานีรถไฟ โบกมือลาจนฉันเดินลงบันไดไป
แม่เธอฝากเอาฝ้ายที่ปลูกเองมาให้ฉันเป็นที่ระลึก

วันหยุดยาวฤดูหนาว ฉันคิดว่าเราจะได้พบกัน
แต่เธอไม่สบาย
ฉันได้รับการ์ดคริสมาสต์ที่เธอทำเอง ส่งมาทางไปรษณีย์

ไม่ได้เจอกันเป็นเดือนแล้ว
คิดถึงชะมัด
เมื่อก่อน ฉันไม่แน่ใจนักว่าคนให้ของขวัญกันทำไม
ตอนเรียนจบ ในหนังสือรุ่น มีคำถาม ถามว่า ถ้าจะให้ของขวัญแทนใจกับคนที่รัก จะให้อะไร ฉันเขียนลงไปว่า ของกับใจน่ะ แทนกันไม่ได้
ตอนนี้ ฉันนั่งมองเปลือกหอย กล่องดนตรีไขลาน ขวดน้ำรามุเนะที่กินกันตอนหน้าร้อน ตุ๊กตาหมี ฝ้าย การ์ดวันคริสต์มาส
ความทรงจำดี ๆ กลับมา นึกถึงวันเวลาที่เราใช้ร่วมกัน
แล้วฉันก็รู้ว่าที่ฉันเขียนไว้ในหนังสือรุ่นน่ะ ฉันคิดผิด

วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สีฟ้า คืออะจิไซ

21:26 0
สีฟ้า คืออะจิไซ
ดอกอะจิไซ บานเฉพาะหน้าร้อน
บานพร้อมกับเสียงหรีดหริ่งเรไร
นกที่ฉันไม่รู้จักชื่อ ขับขานลำนำแห่งขุนเขา

ถ้าดอกอะจิไซบานทุกวันล่ะ
ถ้าไม่ต้องรอคอยการมาของเธอล่ะ

ความสวยงามที่พบได้ทุกวัน
ความรู้สึกจะแปรไปเป็นความเบื่อหน่าย ชิงชังไหม

ฤดูร้อนที่ค่อย ๆ ผันผ่าน
อะจิไซค่อย ๆ แห้งคาต้น
เธอใช่อะจิไซจริง ๆ น่ะหรือ
อะจิไซที่ฉันหลงรักน่ะ มีสีละมุนละไมนะ
ตายละ ฉันโดนเธอหลอก ว่าเธอมีสีสวยอ่อนโยน ช่วยปลอบประโลมใจคนโศก
เมื่อกาลเวลาผ่านไป สีสันของเธอกลับทำให้ฉันขยะแขยง

ก่อนที่กลีบสุดท้ายจะร่วงจากต้น
ฉันสวมถุงมือยาง ปลิดขั้วดอกของเธอ รวบรวมกลีบแห้งเหี่ยว สีสันจืดชืดเหล่านั้นลงในถุงพลาสติก
แน่สิ ฉันต้องสวมถุงมือยาง ใจฉันอยากสวมทับหลาย ๆ ชั้นด้วยซ้ำ
ฉันกลัวสัมผัสจากเธอจะทำให้มือฉันแปดเปื้อน
กลีบของเธอ ฉันเอาไปบด ปรุงเป็นยาพิษ
ค่อย ๆ กลืนลงคออย่างช้า ๆ
แสบร้อน แต่เจือรสหวาน เจือกลิ่นหอมละมุน
ฉันไม่ตาย แต่ฉันต้องมีชีวิตอยู่ไปอีกร้อยปี
ชีวิตที่ต้องเฝ้ามองการเดินทางมาถึงของเธอทุกๆหน้าร้อน
และต้องเฝ้ามองการจากไปของเธอเมื่อลมหนาวพัดบาดต้นคอ
ต้องเฝ้ามองแบบนี้ ไปอีกเป็นร้อยปี ทั้งที่ไม่รู้ว่า
เธอ ณ ฤดูร้อนครานี้
กับเธอ ในฤดูร้อนถัดไป
เป็น "เธอ" เดียวกันหรือไม่

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ชิน

09:28 1
ชิน
เวรทำความสะอาดของฉันวันนี้คือขัดอ่างล้างมือ
ที่หอที่เราอยู่แต่ละคนจะเวียนกันทำหน้าที่สัปดาห์ละหนึ่งอย่าง
หน้าที่ทำความสะอาดครั้งแรกของฉันในการใช้ชีวิตที่นี่คือการขัดอ่างล้างมือ
สัปดาห์ถัดจากนั้นคือยกเก้าอี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้เพื่อนที่ใช้เครื่องดูดฝุ่น ยกเสร็จก็ซักผ้าขี้ริ้ว
สัปดาห์ต่อมาก็ทำความสะอาดครัวฝั่งขวา
เช็ดโต๊ะ เช็ดเครื่องใช้ไฟฟ้า
ขัดส้วม
เครื่องดูดฝุ่น
ครัวฝั่งซ้าย
เทขยะ



ขัดอ่างล้างมือ
ยกเก้าอี้ ซักผ้า
ครัวขวา
เช็ด
ส้วม
เครื่องดูดฝุ่น
ครัวซ้าย
ขยะ

วันนี้เป็นวันที่ฉันขัดอ่างล้างมือเป็นครั้งที่สาม
หมายความว่าสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่สิบเจ็ดในญี่ปุ่นแล้ว
อะไรต่อมิอะไรเริ่มเข้าที่เข้าทาง
รุ่นพี่ที่จะกลับไทยช่วงปิดเทอมถามว่าต้องการอะไรจากไทยไหม
"ไม่มีค่ะ ชีวิตที่นี่โอเคดีแล้ว" ฉันตอบไปอย่างนั้น
ในแง่หนึ่งความคุ้นเคยช่วยทำให้เราสบายอย่างประหลาด สบายทั้งร่างกายและจิตใจ
ความเป็นตัวของตัวเองค่อย ๆ เผยออกมาทีละนิด
นิสัยความเคยชินเดิม ๆ ที่เคยกั๊ก ๆ ไว้ก็ค่อย ๆ ออกมาทักทายคนรอบข้าง
สบายจริง ๆ ความรู้สึกแบบนี้

แต่วันนี้ขณะที่ฉันกำลังขัดอ่างล้างมืออยู่นั่นเอง
เกิดรู้สึกขึ้นมาว่า เอ๊ะ นี่ฉันกำลังทำอย่างลวก ๆ นี่
ความรู้สึกของการขัดอ่างครั้งแรก ฉันยังจำได้ดี
ค่อย ๆ บรรจงขัดทุกซอกทุกมุม ล้างแล้วขัด ขัดแล้วล้างอยู่อย่างนั้น
สามสิบนาทีผ่านไป เพื่อน ๆ ชะโงกหน้ามาดูว่ายังทำไม่เสร็จอีกเหรอ
วันนี้ขัดอ่าง เช็ดกระจก ช่วยเพื่อนยกเก้่าอี้
หันไปมองนาฬิกา เอ๊ะ เพิ่งผ่านมาสิบห้านาที
ความเคยชินทำให้สบายก็จริงอยู่แต่มันทำให้หลาย ๆ อย่างขาดความพิเศษไป
ความพิถีพิถันใส่ใจค่อยๆลดลงเรื่อย ๆ
ไม่ดีเลยแบบนี้

ไม่ใช่แค่กับเรื่องทำความสะอาด
กับเพื่อนก็เหมือนกัน
ความเคยชินทำให้ความพิเศษลดลง
ความใส่ใจเบาบาง
พร้อมที่จะร้ายกาจใส่เธอเมื่อใดก็ได้
หนึ่งวันก่อนวันที่เธอจะกลับประเทศ เราร้ายใส่กัน
"ทำแบบนี้กับฉัน ฉันจะไม่พูดกับเธออีกเลย" นิสัยประจำตัวตอนเด็ก ๆ แวะมาเยี่ยมเยียน
เย็นวันนั้นที่เธอโทรมา ฉันจงใจไม่รับโทรศัพท์
ฉันเห็นเธอเดินผ่านไป... ใช่ แต่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น

ร้ายกาจใช่ไหม
ร้ายจนฉันยังกลัวตัวเอง
จนเธอเดินมาข้างหลัง เอาพัดมาเคาะที่หัวไหล่ พร้อมส่งเสียงว่า "เฮ้"
เสียงที่คุ้นเคย ที่ฟังดูเหมือนเจอด้วยเสียงหัวเราะตลอดเวลา
เสียงที่คอยช่วยเหลือฉันในวันแรก ๆ ของการเรียนที่ฉันเรียนตามไม่ทัน
เสียงที่ถามว่า "วันนี้กินไอติมมั้ย" "ไปยิมกันมั้ย" "ไปลองกินร้านนั้นกันดูมั้ย"
เสียงที่ทำให้ฉันหัวเราะได้ในวันที่เศร้าที่สุด
และในวันที่ฉันอารมณ์ดี เสียงนี้ก็เป็นเสียงที่ทำให้ฉันหัวเราะดังขึ้น
มีเวลาฟังเสียงนี้แค่อีกไม่ถึง 24 ชั่วโมง
พอคิดได้แบบนี้ ฉันก็หันหลังกลับไป "เฮ้" ฉันทัก
"กินข้าวกันไหม" เธอถาม
"โอโคโนมิยากิมั้ยล่ะ" ฉันเสนอ
โอโคโนมิยากิมื้อสุดท้ายของเรา เราหัวเราะกันเบากว่าที่เคย
แต่หัวใจฉันอบอุ่น

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

น้ำหนักของสรรพสิ่ง

08:55 2
น้ำหนักของสรรพสิ่ง
หยิบโทรศัพท์มือถือมาดูเวลาเป็นระยะ ๆ พร้อมทำท่าทางกระสับกระส่าย
"จะกลับกันรึยัง" ฉันถามทุก ๆ ห้านาที
เพื่อนชาวเขมรที่ตัวเล็กนิดเดียวแต่กินจุเป็นบ้าก็ลุกไปตักสลัดบาร์ทุก ๆ ห้านาทีเหมือนกัน
นั่งกระสับกระส่ายอยู่พักใหญ่ในที่สุดก็ได้คำตอบว่าถึงจะกินกันจนอิ่มแล้วก็ยังไม่กลับกันง่าย ๆ หรอก
อาจจะไปต่อกันที่คาราโอเกะ เพื่อนคนนึงว่าอย่างนั้น
ปั๊ดธ่อ  รู้อย่างนี้ฉันกลับไปก่อนตั้งนานแล้ว

"ไปไม่ได้หรอก สี่ทุ่มฉันมีเวรทำความสะอาดที่หอ"
"โอ๊ย ไม่ต้องทำหรอก เทอมหน้าก็ยังมีเวลาให้ทำอีกทั้งเทอม" เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น
ฉันพยายามอธิบายว่ามันเป็นความรับผิดชอบ ถ้าฉันไม่กลับไปทำคนอื่นก็จะต้องมาทำแทนฉัน
มันลำบากคนอื่นเค้า ถ้าเป็นเรื่องของตัวเองคนเดียวน่ะไม่เป็นไรหรอก
เพื่อน ๆ ทำเสียงอึดอัดขัดใจ ทำไมถึงไม่ยอมอยู่สนุกด้วยกัน
เขาคงไม่เข้าใจ
เช่นเดียวกับที่ฉันก็ไม่เข้าใจเขาเช่นกัน
เราอยู่หอคนละที่กัน แต่ที่หอของแต่ละคนก็มีเวรทำความสะอาดวันนี้เหมือนกัน
ทำไมถึงไม่ทำหน้าที่ของตัวเองฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
จริงอยู่ที่เวลาที่จะได้ใช้ร่วมกันเหลือน้อยลงไปทุกที
แล้วทำไมฉันถึงไม่พยายามฉกฉวยเอาความรู้สึกดี ๆ ที่จะได้จากการใช้เวลาร่วมกันเอาไว้
ไม่ใช่ว่ามิตรภาพไม่มีค่า
สำหรับฉันแล้วทั้งสองอย่างก็มีค่าพอกัน
แต่ตาชั่งของฉันหนักไปข้างที่ไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อนมากกว่า
ตาชั่งของเราแต่ละคนคงไม่เท่ากัน

ทุกครั้งที่มีสอบ
เพื่อนสนิทฉันจะเครียดมากทุกครั้ง
สอบเสร็จก็จะไล่ถามว่าข้อนั้นข้อนี้ตอบอะไร
พอรู้ว่าตอบผิด เธอจะส่งเสียงร้องครวญครางออกมา
"ทำไมต้องเครียดขนาดนั้น แค่ข้อสอบเอง"
ยิ่งฉันพูดแบบนี้ยิ่งทำให้เธอหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
ก็แบบนี้ล่ะน่ะ ตาชั่งเรามันไม่เท่ากัน



อย่างมากที่สุดเราก็ทำได้แค่งุนงงกับตาชั่งของคนอื่น
แต่ถึงที่สุดแล้วเราไม่มีสิทธิจะไปสั่งให้เขาปรับตาชั่งเขาให้เท่ากับเรา
เงื่อนไขปัจจัยชีวิตแต่ละคนก็ต่างกันไป
ฉันไม่กินเหล้าไม่ได้แปลว่าฉันจะสนุกกับเธอไม่ได้
ฉันแค่ไม่เคยชอบรสชาติของเหล้าและไม่ชอบความรู้สึกเวลาที่ตัวเองดื่มเหล้า
แต่ถ้ามันทำให้เธอรู้สึกดีก็ดื่มไปเถอะ ฉันไม่นึกอยากห้ามเลย
และถึงฉันจะรักหมามากแค่ไหน แต่การที่เธอกินหมาก็ไม่ได้แปลว่าเธอเป็นคนไม่ดี
คนเรามีสิทธิจะเลือกว่าจะเอาอะไรเข้าปากตัวเอง
คนกินหมูก็ไม่ได้ดีวิเศษกว่าคนกินหมาสักหน่อย
เราต่างคนต่างเติบโตมาแตกต่างกัน
ยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่ฉันยังไม่เข้าใจ
แต่ถ้าเข้าใจทั้งหมดแล้ว ชีวิตไม่มีอะไรให้เรียนรู้อีกแล้ว แบบนั้นก็คงน่าเบื่อน่าดู
วันนี้ยังไม่เข้าใจ
แต่เราก็ยังคงเป็นเพื่อนกัน
ยังรู้สึกดี ๆ ต่อกัน
ไม่เป็นไรหรอก เรื่องวันนี้
ยังไงฉันก็จะพยายาม วันละเล็กละน้อย จะพยายามเข้าใจให้ได้
ขอบคุณที่ยังเป็นเพื่อนกันนะ :)

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

จาก

08:12 0
จาก
ผ้าแห้งสนิทแล้ว ก่อนไปโรงเรียนก็เก็บผ้าที่ตากไว้
ไอร้อน ๆ จากผ้าส่งผ่านมาที่มือ อุ่นสบายดีจัง
ระหว่างทางเดินไปโรงเรียน รู้สึกได้ถึงท้ายทอยที่ชื้นเหงื่อ
มองดูคูน้ำหาร่องรอยของเป็ด น้ำแห้งขอดขนาดนี้ แม้แต่ยุงก็คงไม่อยากมาวางไข่
แดดส่องรำไรลอดแนวร่มไม้ลงมา
แมลงฤดูร้อนกรีดปีก เสียงดัง กริก กริก กริก....

เลิกเรียนวันนี้เธออยากทำอย่างหนึ่งแต่ฉันอยากทำอีกอย่างหนึ่ง
ไม่เป็นไร เธอไปทำเรื่องของเธอ ฉันไปทำเรื่องของฉัน เมื่อไหร่อยากใช้เวลาด้วยกันค่อยมาเจอ
แต่วันนี้ฝนไม่ตก ฉันอยากไปนั่งเล่นริมแม่น้ำใกล้ ๆ หอเธอ
ฉันแยกไปออกกำลังกายที่ยิม
ออกกำลังกายเสร็จก็โทรมาละกัน เธอบอก
บ่ายแก่ๆ แดดร่ม ๆ ก็มุ่งหน้าตรงไปยังหอเธอ
ระหว่างทางเค้ากำลังซ่อมถนนกันอยู่
คุณผู้ชายคนที่ดูต้นทางถามฉันว่า "ตรงไปเหรอ"
ทันทีที่ฉันพยักหน้ารับ เขาก็หันไปส่งสัญญาณบอกเพื่อนร่วมงานให้หยุดงานที่ทำก่อน
หยุดเพื่อให้ฉันเดินด้วยความปลอดภัย
ไม่ลืมโค้งพร้อมคำขอโทษที่ทำให้เขาต้องลำบาก

เจอกันที่แฟมิลีมาร์ทนะ ฉันส่งเสียงกรอกลงไปในโทรศัพท์
เดินรับแอร์ในร้านสะดวกซื้อได้สักพัก ฉันก็เห็นใบหน้าเธอเดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้ามา
เราซื้อไอติมรสมินต์และของกินอื่น ๆ
คุณผู้หญิงที่ประจำอยู่ตรงเครื่องคิดเงินยังสุภาพและยิ้มหวานเหมือนเดิม

เราเดินถือถุงพลาสติกคนละใบมุ่งหน้าตรงมาที่ริมแม่น้ำ
ระหว่างทางมีเพิงที่วางผักไว้ มันฝรั่ง ผักกาด กะหล่ำปลี
เธอบอกว่า เค้าวางไว้ขาย แต่ไม่มีคนคอยเก็บเงิน
ใครอยากได้ก็วางเงินไว้ร้อยเยนแล้วก็หยิบผักไป
น่ารักชะมัดเลย
ที่ริมน้ำ ฉันถอดรองเท้า นั่งลงบนหญ้า
หญ้าแหลม ๆ ทำให้ฉันต้องเอาผ้าขนหนูที่ใช้ตอนออกกำลังกายมาปูรองนั่ง
ไอติมแท่งนั้นหมดลง ฉันล้มตัวลงและเผลอหลับไป
เธอพูดอะไรกับฉันฟังไม่ได้ศัพท์ ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินคือ "นอนเถอะ"
คงเผลอหลับไปแค่แป๊บเดียว แต่ตื่นมารู้สึกสดชื่นชะมัด
คุณลุงคนนั้นยังตัดหญ้าอยู่ที่ริมน้ำ ทำงานไปก็ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อไป
ดูท่าทางน่าเหนื่อยแต่ร่างกายคุณลุงคงจะแข็งแรงน่าดู
เด็ก ๆ เล่นกลิ้งตัวแข่งกันลงเนิน
ไม่รู้ว่าจะโดนหญ้าตำแบบที่ฉันโดนรึเปล่า
ฟ้าโล่ง ๆ ไร้ตึกบัง มีแต่สีฟ้าของท้องฟ้ากับสีขาวของเมฆ
นาน ๆ ทีจะมีนกกระจอกบินผ่านไปบ้าง
มีคนจูงหมาเดินเล่นผ่านมาให้เห็นไม่ได้ขาด
เมื่อมีอะไรผ่านเข้ามาในห้วงความคิดแล้วอยากเล่าให้เธอฟัง ความเงียบก็ถูกทำลายลง
แต่ทั้งความเงียบและการพูดคุยระหว่างเราอยู่ในสัดส่วนที่พอดี ช่างเป็นความรู้สึกแสนสบาย
นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้ สักพักก็เดินไปสำรวจแม่น้ำกัน
น้ำดูไม่ค่อยใสเท่าไหร่ แต่มีจิงโจ้น้ำด้วยแฮะ
เค้าว่าถ้าเห็นจิงโจ้น้ำที่ไหนแปลว่าน้ำที่นั่นสะอาด ไม่มีสารเคมีปนเปื้อนมากนัก
ฉันไม่รู้ว่าจิงโจ้น้ำเรียกว่าอะไร
pond-skater เธอบอก
นักสเก็ตบนสระน้ำอย่างนั้นเหรอ
ริมน้ำมีดอกไม้เหลือง ๆ ส้ม ๆ หน้าตาน่ารักบานอยู่

ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี
จากเมฆสีขาว ๆ กลายเป็นสีชมพู
แสงแดดค่อย ๆ ลาจากเราไป
เด็ก ๆ ที่เล่นอยู่ริมน้ำก็จากเราไปพร้อมกับแสงแดด
ณ ที่นั้นไม่มีใครนอกจากฉันกับเธอ
ฉันเลยเล่นกลิ้งตัวลงเนินบ้าง อ๋อ..มันสนุกอย่างนี้นี่เอง
ร้องเพลง เต้นรำ ทำทุกอย่างที่อยากทำ
จนกระทั่งเพื่อนเธอเดินผ่านมา
เมื่อมีบุคคลที่สาม ฉันกลับไปเป็นลูกแมวเชื่อง ๆ ไม่พูดไม่จาอะไรเหมือนเดิม
ในโลกนี้ มีแค่คนบางคนเท่านั้นที่เรายอมให้เค้าเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หวงห้ามของเรา
พอเพื่อนเธอจากไป เรากลับมานั่งที่เดิม
แสงไฟสีส้มสว่างลอดออกมาจากหน้าต่างบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ
เธอนั่งอยู่ข้าง ๆ เล่นมือถือ
แค่รู้ว่าเธอนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้คุยอะไรกัน แค่นั้นก็พอแล้ว
รู้ว่าเวลาที่เราจะได้ใช้ร่วมกันเหลือน้อยลงไปทุกที
เธอเล่าให้ฟังถึงเรื่องเตรียมตัวกลับบ้าน แพ็คกระเป๋า ซื้อตั๋วเครื่องบิน
ฉันรู้สึกเหมือนมีชิ้นส่วนในร่างกายหลุดหายไป
ผูกพันมาก พอถึงเวลาต้องจากลาจะเจ็บปวดมาก
แต่ฉันจะยังจะเลือกชีวิตที่ได้สัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นอยู่ดี ถึงมันจะเจ็บปวด
ฉันบอกเธอไปเมื่อสองสามชั่วโมงก่อนว่าชื่อจริงฉันชื่อบงกช
ตอนนี้ เธอถามขึ้นว่าชื่อจริงฉันชื่ออะไรนะ มาคุนเหรอ
ฉันให้เธอทายใหม่ "กราโต๊ะ" เธอบอก
เราหัวเราะกันจนน้ำตาไหล
ถึงการจากลาจะเจ็บปวดแต่ช่วงเวลาระหว่างการพบและการพรากก็ไม่ได้สูญเปล่าเลย






วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อาบน้ำ

06:08 2
อาบน้ำ
ประตูห้องดัง ก๊อก ก๊อก ก๊อก ติดกันแบบรัว ๆ
ได้ยินเสียงหอบหายใจดังมาจากด้านนอก คนเคาะคงรีบร้อนน่าดู
ลูกบิดหมุนดังกริ๊ก ใบหน้าที่อยู่หลังประตูคือวาโกะ
"เข้าโอฟุโระไปแล้วยัง" วาโกะถามด้วยอาการเหนื่อยหอบ
ฉันเป็นคนชวนเธอเองแหละว่าวันนี้เข้าโอฟุโระกันมั้ย
ชวนเสร็จต่างคนต่างแยกย้ายเข้าห้องตัวเองหยิบสบู่ยาสระผม
ฉันมารอวาโกะหน้าห้องปรากฏว่าเธอไม่อยู่ในห้องแล้ว
ยืนรี ๆ รอ ๆ อยู่เป็นนานสองนาน หาวาโกะไม่เจอฉันก็เลยชิงเข้าไปก่อน
"ขอโทษนะวาโกะ ไว้คราวหน้าเข้าด้วยกันอีกนะ"

ยังจำคราวที่แล้วที่เราเข้าโอฟุโระด้วยกันได้
ฉันนั่งข้าง ๆ เธอ คุยกันด้วยเรื่องง่าย ๆ อาหาร ลมฟ้าอากาศ เรื่องเรียน
ตอนที่สระผมฉันนึกสนุกเอาผมมาปิดหน้า แล้วเรียกชื่อวาโกะด้วยเสียงหลอน ๆ
วาโกะแกล้งกลับด้วยการเอาฝักบัวฉีดใส่ฉัน
วันนั้นหลังจากเข้าโอฟุโระแล้วเราก็มานั่งกินมาม่ากัน
เรื่องง่าย ๆ แค่นี้เอง
เรื่องธรรมดาสามัญแต่ทำให้ฉันรู้สึกผูกพันกับเธออย่างประหลาด
ฉันไม่เคยคิดว่ามนุษย์คนหนึ่งจะรู้สึกผูกพันกับมนุษย์อีกคนหนึ่งได้ขนาดนี้
แค่นั่งอาบน้ำด้วยกัน
ความผูกพันนั้นมาพร้อมกับความไว้ใจด้วย
ฉันยอมเปิดเผยตัวฉันเพราะรู้ว่าเธอไม่ตัดสิน
เรื่องที่คุยไม่ใช่เรื่องยาก ๆ ไม่ต้องแลกเปลี่ยนประสบการณ์ลึกซึ้งทางจิตวิญญาณกัน
แค่เรื่องธรรมดาทั่วไป
ที่จริงแล้วคำพูดแทบจะไม่มีความสำคัญเลยด้วยซ้ำ
ฉันเชื่อว่าถึงเราจะนั่งอาบกันไปเงียบๆ ฉันก็จะยังรู้สึกกับเธอแบบนี้อยู่ดี

วันนี้เดินเข้าโอฟุโระไปคนเดียว
มีคนสองสามคนอาบอยู่ก่อนแล้ว วันนี้คนไม่เยอะ
ฉันนั่งลงอาบเงียบ ๆ
หญิงสาวที่แช่ตัวอยู่ก่อนเรียกชื่อฉัน "สบายดีมั้ย" เธอถาม
แล้วเราก็เริ่มคุยกัน
...

สถานที่แบบนี้
ดีต่อหัวใจมากเลยนะ

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ใบหน้าของฤดูร้อน

07:58 0
ใบหน้าของฤดูร้อน
แมงมุมทอใยรอบต้นสน
ขาวโพลน

ตู้กดน้ำหยอดเหรียญ
พลันปรากฏน้ำกระป๋องกลิ่นเมลอน

ตามไรผม
เหงื่อเกาะพราว

ลม
พัดเอากลิ่นของฤดูร้อนมาเยือน

พรุ่งนี้ฝนคงตก
ตกไปตลอดสัปดาห์เลยทีเดียว
ถ้าพยากรณ์อากาศยังเชื่อถือได้อยู่บ้าง

อาจจะเดือนหน้า
หรืออาจจะเป็นพรุ่งนี้
ที่เรากล้าเรียกฤดูนี้ว่าฤดูร้อน

ยูกาตะ
ดอกไม้ไฟ
งานเทศกาล
ปลาทอง
แตงโม
ไล่จับแมลง
รองเท้าแตะ
น้ำแข็งไส
ผ้ากลิ่นแดด



มาไวไวนะ
ฤดูร้อน